เป็นหนึ่งในท็อปปิค ที่คุยกันได้เป็นวรรคเป็นเวร รสนิยมต่างกันไป พีอาร์ของยี่ห้อ "ไนกี้" ส่งข้อมูลของรองเท้าวิ่ง "ตระกูลฟรี"
ฃมาให้ อ่านๆ ก็เพลินๆ น่าสนใจ เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
จุดกำเนิดย้อนไปปี 2001 นักออกแบบของไนกี้สังเกตเห็นนักกรีฑาของ ม.สแตนฟอร์ด วิ่งคูลดาวน์บนพื้นหญ้าด้วยเท้าเปล่า โค้ชบอกว่าช่วยเสริมสุขภาพของเท้า (ถ้าไม่ไปเตะไม้เสียบหมึกซะนะ)
ทีมงานเห็นบอก "เฮ้ย...จริงเด่ะ" เลยไปศึกษามา 1 ปี ได้ข้อสรุปว่า "การเคลื่อนไหวของเท้าเปล่า" เป็นธรรมชาติมากกว่าเวลาใส่รองเท้า เลยเริ่มออกแบบรองเท้าที่ "ใส่แล้วเหมือนไม่ใส่" แรกๆ จะคล้ายรองเท้าแตะมากกว่า ไม่ค่อยป้องกันอะไร
ช่วงกำเนิดได้รับอิทธิพลมาจากของเล่นไม้ที่สลักเป็นรูปงูซึ่งมีกลไกที่เลื่อนขึ้นได้เพื่อจำลองการเลื้อยของงู แล้วทดลองเพิ่มรอยบากเล็กๆ ที่ส่วนล่างสุดของพื้นรองเท้า จากนั้นเปลี่ยนพื้นรองเท้าเป็นวัสดุโฟมที่มีรอยบากเล็กๆ ความลึกที่ต่างกัน จนขายรองเท้าตระกูลฟรีรุ่นแรก คือรุ่น 5.0 เมื่อปี 2004
ปี 2014 จ๊ะเอ๋ว่าว่า แรงกดที่เท้ากระทบพื้น เป็นเส้นคล้ายตัว S นักออกแบบเลยทำลวดลายรอยบากที่พื้นรองเท้าให้หลากหลาย แล้วได้ข้อสรุปว่า แบบดีสุดคือรอย 6 เหลี่ยม
จากนั้นค้นพบเพิ่มเติมว่าเท้าของมนุษย์ยืดและหดได้ขณะเคลื่อนไหว ทั้งแนวยาวและด้านกว้าง ซึ่งเดิมทีรองเท้าตระกูลฟรีออกแบบรองรับการยืด-หดแนวยาวเท่านั้น
วัสดุโอเซติกส์ (auxetics) ถูกนำมาทดลองใช้ที่พื้นรองเท้า มีคุณสมบัติพิเศษขยายตัวได้ทั้งแนวตั้งและนอน เมื่อมาใส่รอยบากแบบดาวสามแฉก(คล้ายๆ อาวุธดาวกระจายของนินจา) ปรากฏว่าแจ่มว้าว รองรับแรงกระแทก ขยายตัวพร้อมกันตามขนาดของเท้าเมื่อเท้ากระทบกับพื้น กล่าวคือขยายได้ 1 เบอร์รองเท้าตามยาวหรือ 2 เบอร์รองเท้าตามกว้าง ส่วนล่างสุดยืดหยุ่นตามความเคลื่อนไหวของเท้า
สำหรับรองเท้า "ตระกูลฟรี" ผู้ผลิตเขาแนะนำสำหรับการวิ่งระยะสั้นๆ
อ้อ ตัวเลขในรองเท้าตระกูลนี้ เช่น ฟรีรัน 5.0 สื่อถึงความรู้สึกเมื่อใส่ว่าใกล้เคียงกับการวิ่งด้วยเท้าเปล่าเพียงใด เลข 0 คือเท้าเปล่า และ 10 คือความรู้สึกเมื่อวิ่งโดยสวมรองเท้าวิ่งทั่วไป
เป็นเรื่องราวของ "รองเท้าวิ่ง" ที่เก็บมาเล่า อ่านเป็นความรู้ หรือเอาเพลินๆ ก็ได้ ส่วนจะชอบรุ่นนี้ ยี่ห้อนี้หรือไม่ อันนี้แล้วแต่รสนิยมนะจ๊ะ
เพิ่มเติม >> https://www.cityofbalconesheights.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95-888/
ฃมาให้ อ่านๆ ก็เพลินๆ น่าสนใจ เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
จุดกำเนิดย้อนไปปี 2001 นักออกแบบของไนกี้สังเกตเห็นนักกรีฑาของ ม.สแตนฟอร์ด วิ่งคูลดาวน์บนพื้นหญ้าด้วยเท้าเปล่า โค้ชบอกว่าช่วยเสริมสุขภาพของเท้า (ถ้าไม่ไปเตะไม้เสียบหมึกซะนะ)
ทีมงานเห็นบอก "เฮ้ย...จริงเด่ะ" เลยไปศึกษามา 1 ปี ได้ข้อสรุปว่า "การเคลื่อนไหวของเท้าเปล่า" เป็นธรรมชาติมากกว่าเวลาใส่รองเท้า เลยเริ่มออกแบบรองเท้าที่ "ใส่แล้วเหมือนไม่ใส่" แรกๆ จะคล้ายรองเท้าแตะมากกว่า ไม่ค่อยป้องกันอะไร
ช่วงกำเนิดได้รับอิทธิพลมาจากของเล่นไม้ที่สลักเป็นรูปงูซึ่งมีกลไกที่เลื่อนขึ้นได้เพื่อจำลองการเลื้อยของงู แล้วทดลองเพิ่มรอยบากเล็กๆ ที่ส่วนล่างสุดของพื้นรองเท้า จากนั้นเปลี่ยนพื้นรองเท้าเป็นวัสดุโฟมที่มีรอยบากเล็กๆ ความลึกที่ต่างกัน จนขายรองเท้าตระกูลฟรีรุ่นแรก คือรุ่น 5.0 เมื่อปี 2004
ปี 2014 จ๊ะเอ๋ว่าว่า แรงกดที่เท้ากระทบพื้น เป็นเส้นคล้ายตัว S นักออกแบบเลยทำลวดลายรอยบากที่พื้นรองเท้าให้หลากหลาย แล้วได้ข้อสรุปว่า แบบดีสุดคือรอย 6 เหลี่ยม
จากนั้นค้นพบเพิ่มเติมว่าเท้าของมนุษย์ยืดและหดได้ขณะเคลื่อนไหว ทั้งแนวยาวและด้านกว้าง ซึ่งเดิมทีรองเท้าตระกูลฟรีออกแบบรองรับการยืด-หดแนวยาวเท่านั้น
วัสดุโอเซติกส์ (auxetics) ถูกนำมาทดลองใช้ที่พื้นรองเท้า มีคุณสมบัติพิเศษขยายตัวได้ทั้งแนวตั้งและนอน เมื่อมาใส่รอยบากแบบดาวสามแฉก(คล้ายๆ อาวุธดาวกระจายของนินจา) ปรากฏว่าแจ่มว้าว รองรับแรงกระแทก ขยายตัวพร้อมกันตามขนาดของเท้าเมื่อเท้ากระทบกับพื้น กล่าวคือขยายได้ 1 เบอร์รองเท้าตามยาวหรือ 2 เบอร์รองเท้าตามกว้าง ส่วนล่างสุดยืดหยุ่นตามความเคลื่อนไหวของเท้า
สำหรับรองเท้า "ตระกูลฟรี" ผู้ผลิตเขาแนะนำสำหรับการวิ่งระยะสั้นๆ
อ้อ ตัวเลขในรองเท้าตระกูลนี้ เช่น ฟรีรัน 5.0 สื่อถึงความรู้สึกเมื่อใส่ว่าใกล้เคียงกับการวิ่งด้วยเท้าเปล่าเพียงใด เลข 0 คือเท้าเปล่า และ 10 คือความรู้สึกเมื่อวิ่งโดยสวมรองเท้าวิ่งทั่วไป
เป็นเรื่องราวของ "รองเท้าวิ่ง" ที่เก็บมาเล่า อ่านเป็นความรู้ หรือเอาเพลินๆ ก็ได้ ส่วนจะชอบรุ่นนี้ ยี่ห้อนี้หรือไม่ อันนี้แล้วแต่รสนิยมนะจ๊ะ
เพิ่มเติม >> https://www.cityofbalconesheights.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95-888/

Comments
Post a Comment